ROUTE 2

WETLANDS

0/3

พื้นที่ชุ่มน้ำ
รุ่มรวยความหลากหลาย

เลื่อนลงเพื่อดูต่อ ↓

พื้นที่ชุ่มน้ำ
คือ คำเรียกโดยรวมของแหล่งน้ำในธรรมชาติ
ที่มีอยู่หลายประเภทไม่ว่า แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง
บึง ก็นับว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งสิ้น

รู้หรือไม่ว่า...

โลกของเรามีพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่เพียง 2% ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น*
แต่พื้นที่ชุ่มน้ำกลับเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ
ที่สำคัญของโลก ทั้งยังเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญต่อการใช้ชีวิต
ของทั้งมนุษย์และสัตว์

(*ข้อมูลจาก World Wildlife Fund (WWF))

ในประเทศไทย มีพื้นที่ชุ่มน้ำ
อยู่ราว 6.75% ของพื้นที่*

ซึ่งบริเวณคาบสมุทรไทยนับเป็นแหล่งพื้นที่ชุ่มน้ำ
ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศ

(*ข้อมูลจาก World Wildlife Fund (WWF))

หนึ่งในพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ
เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งน้ำขนาดใหญ่
อยู่ห่างจาก

พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา
๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี

ไปเพียง 30 กิโลเมตรเท่านั้น

พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญ ระดับนานาชาติแห่งใด ตั้งอยู่บนคาบสมุทรไทย ?

พรุควนขี้เสียน หนองบงคาย บึงโขงหลง
และดอนหอยหลอด

ต่างก็เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญ
ระหว่างประเทศ

หรือ

“แรมซาร์ไซต์”
(Ramsar Site)

ตามอนุสัญญาแรมซาร์
(Ramsar Convention)

อนุสัญญาแรมซาร์คืออะไร ?

อนุสัญญาแรมซาร์หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ แรกเริ่มเป็นข้อตกลง
ของรัฐบาลแต่ละประเทศที่กำหนดกรอบการทำงาน เพื่อร่วมมืออนุรักษ์แหล่งที่อยู่
อาศัยและใช้ประโยชน์ของพื้นที่ชุ่มน้ำ อันเป็นการอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกน้ำ

ต่อมาจึงได้ขยายขอบเขตของอนุสัญญาให้ครอบคลุมการอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำในโลกอย่างยั่งยืน ตลอดจนยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำในโลก โดยประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาแรมซาร์ ลำดับที่ 110 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2541

การเป็นภาคีในอนุสัญญาแรมซาร์นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของ

ประชาคมโลกในการอนุรักษ์
สิ่งแวดล้อมร่วมกัน

ปัจจุบัน ทั่วโลกมีแรมซาร์ไซต์ประมาณ
2,400 แห่ง

ในจำนวนนี้มีพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยอยู่ทั้งหมด
15 แห่ง คิดเป็นพื้นที่ราว 2,532,618.75 ไร่ นับเป็นประเทศที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำมากที่สุด เป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ดาวน์โหลดข้อมูล “อนุสัญญาแรมซาร์”

“พรุควนขี้เสียน”

แรมซาร์ไซต์แห่งแรกของประเทศไทย
ได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2541
ตั้งอยู่ทางตอนเหนือใน “เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย”
จังหวัดพัทลุง เป็นบริเวณที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และสวยงาม
จนเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่ง

ทะเลน้อยเป็นส่วนหนึ่งของ

“ทะเลสาบสงขลา”

ทะเลสาบสงขลา มีความยาวจากปากน้ำขึ้นไปทางทิศเหนือราว 80 กิโลเมตร
มีเนื้อที่กว่า 1,000 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่

จังหวัดพัทลุง จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา

ทะเลสาบสงขลา แบ่งออกเป็น 4 ส่วน

ทะเลน้อย

อยู่ทางตอนเหนือสุดของทะเลสาบสงขลา เป็นทะเลสาบน้ำจืด มีพืชน้ำจืดนานาชนิดขึ้นอยู่โดยรอบ เป็นแหล่งพักพิงของนกน้ำประจำถิ่นและนกอพยพมาจากแหล่งอื่น รวมถึงสัตว์น้ำหายากและใกล้สูญพันธุ์ อาทิ ปลาดุกลำพัน ปลาตือ โลมาอิรวดีหรือโลมาหัวบาตร

ทะเลหลวง (ทะเลสาบสงขลาตอนบน)

เป็นส่วนที่ถัดจากทะเลน้อยลงมา โดยมีคลองนางเรียม เชื่อมระหว่างทะเลน้อยกับทะเลหลวง เป็นห้วงน้ำที่กว้างที่สุดในทะเลสาบสงขลา แต่เดิมเป็นท้องน้ำจืด แต่ในบางปีมีการรุกตัวของน้ำเค็มค่อนข้างสูงในช่วงฤดูแล้ง ทำให้มีสภาพเป็นน้ำจืดและน้ำกร่อยตามฤดูกาล

ทะเลสาบ (ทะเลสาบสงขลาตอนกลาง)

เป็นส่วนที่มีเกาะหลายเกาะ อาทิ เกาะสี่ เกาะห้า เกาะหมาก ทะเลสาบตอนกลางเชื่อมกับทะเลสาบตอนล่างด้วยคลองหลวงและอ่าวท้องแบน บริเวณนี้ได้รับอิทธิพลของน้ำทะเลขึ้น-ลง จึงมีทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย

ทะเลสาบสงขลา (ทะเลสาบสงขลาตอนล่าง)

เป็นทะเลสาบที่มีส่วนเชื่อมต่อกับอ่าวไทย เป็นทะเลสาบน้ำเค็ม แต่ในฤดูฝนจะเป็นน้ำกร่อย แต่เดิมมีป่าชายเลนปกคลุมโดยทั่ว แต่ปัจจุบันกลายเป็นที่อยู่อาศัยและทำประมง มีการวางเครื่องมือประมงเกือบทั่วบริเวณ บริเวณปากร่องน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นทางออกสู่อ่าวไทย มีความลึกประมาณ 12–14 เมตร

เนื่องจากทะเลสาบสงขลาได้รับน้ำจืดที่ไหลมาจากเทือกเขาบรรทัดและ
เทือกเขาสันกาลาคีรี และน้ำเค็มจากอ่าวไทย ทำให้ทะเลสาบสงขลากลายเป็น “พื้นที่สามน้ำ” จุดรวมกันของ น้ำจืด น้ำกร่อย และเค็ม ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล

พื้นที่สามน้ำ

ทะเลสาบสงขลาแห่งนี้ ไม่ได้มีความโดดเด่นแค่ขนาดที่ใหญ่เท่านั้น
แต่ยังเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพ
ที่มีระบบนิเวศหลากหลายให้เราศึกษา

ตัวอย่างของระบบนิเวศ

ที่นับเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งพบได้ในพื้นที่
ทะเลสาบสงขลามีอะไรบ้างนะ ?

ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล

เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์จากการสะสมตัวของธาตุอาหารและตะกอนต่าง ๆ
โดยส่วนที่เป็นแผ่นดินจะได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเล บางครั้งเราไม่สามารถระบุ
ขอบเขตที่ชัดเจนของระบบนิเวศชายฝั่งได้ เนื่องจากชายฝั่งในแต่ละบริเวณ
มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ชายฝั่งทะเลมักจะประกอบด้วยระบบนิเวศย่อย ๆ
อาทิ ระบบนิเวศป่าบก แม่น้ำลำคลอง ป่าชายเลน แนวหญ้าทะเล
และแนวปะการัง

ชายฝั่งทะเลของจังหวัดสงขลา
มีความยาวประมาณ 159 กิโลเมตร

ครอบคลุมเขตอำเภอระโนด อำเภอสทิงพระ อำเภอสิงหนคร อำเภอเมืองสงขลา อำเภอจะนะ และอำเภอเทพา ชายฝั่งทะเลของสงขลามีลักษณะเป็นหาดทรายยาวทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ปากทะเลสาบทางด้านใต้เป็นจะงอยซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่ของจังหวัดสงขลาที่ทอดตัวยาวลงไปถึงเขาเก้าเส้งที่เป็นหินแกรนิตอยู่ริมทะเล จากนั้นเป็นหาดทรายขาวที่มีความกว้างสลับกับแนวลากูน ต่อเนื่องไปจนถึง อำเภอจะนะ และอำเภอเทพาจรดกับเขตจังหวัดปัตตานี

ระบบนิเวศลากูน

ลากูน (Lagoon) คือ ทะเลสาบน้ำเค็มที่มีน้ำไหลเข้าออกได้ เกิดขึ้น
ทั้งในทะเลและบริเวณชายฝั่งทะเล ทะเลสาบสงขลานับเป็นทะเลสาบ
น้ำเค็มชายฝั่งทะเลที่เกิดจากการปิดกั้นของสันดอน บริเวณปากอ่าว
ปิดล้อมบริเวณที่เป็นอ่าวอยู่เดิม แต่ยังมีทางออกแคบ ๆ ให้น้ำไหลผ่านได้
บริเวณลากูนเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เป็นศูนย์รวมของระบบนิเวศหลากหลาย
ประเภท อาทิ ที่ลุ่มน้ำเค็ม ป่าชายเลน และแนวหญ้าทะเล

ทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลสาบ
น้ำเค็มแห่งเดียวในประเทศไทย

และเป็น 1 ในทะเลสาบน้ำเค็ม 117 แห่งทั่วโลก
เราสามารถพบระบบนิเวศหลากหลายได้บริเวณทะเลสาบสงขลา
ไม่ว่าจะเป็น ป่าดิบชื้น ป่าชายเลน ป่าพรุ แหล่งน้ำจืด
และส่วนของทะเลสาบที่มีทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม

ระบบนิเวศป่าพรุ

ป่าชนิดนี้มักปรากฏในบริเวณที่มีน้ำจืดท่วมขังเป็นเวลานาน
ป่าพรุในภาคใต้จะมีลักษณะทึบ ในขณะที่ป่าพรุในภาคกลางจะมี
ลักษณะโปร่งกว่า ดินป่าพรุมีส่วนประกอบของดินพรุหรือพีต (Peat)
คือซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมกัน โครงสร้างของป่าพรุที่สมบูรณ์
และไม่ถูกรบกวนจะคล้ายกับป่าดิบชื้น แต่ชนิดพรรณไม้จะแตกต่างกันมาก
เรือนยอด ของป่าพรุค่อนข้างชิดและต่อเนื่องกันสามารถสูง
ได้ถึง 24–37 เมตร

พรรณไม้ของป่าพรุ

มีโครงสร้างพิเศษ เพื่อดำรงชีพในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำท่วมขังตลอดเวลาโดยเฉพาะส่วนรากที่อยู่ในน้ำขัง ในส่วนของป่าพรุที่อยู่ใกล้ชายทะเลมักพบต้นเสม็ด ต้นช้างไห้ ตังหนใบใหญ่ และกาบอ้อย

สัตว์โดดเด่นที่พบได้ในป่าพรุ

คือ นากใหญ่ขนเรียบ นากเล็กเล็บสั้น และนกเงือกดำ

เราสามารถพบป่าพรุได้โดยรอบบริเวณ
ทะเลสาบสงขลา ป่าพรุที่สำคัญ คือ

"พรุควนขี้เสียน"

ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง

ที่เป็นแรมซาร์ไซต์แห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมี
“พรุควนเคร็ง” ที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา
จังหวัดพัทลุง และจังหวัดนครศรีธรรมราช
“เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวง”
มีเนื้อที่ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดพัทลุงและสงขลา
และ “พรุเชิงแส” หรือ “อ่าวบางเต็ง” ที่ตั้งอยู่ในอำเภอกระแสสินธุ์ จังหวดสงขลา

ส่วนป่าพรุที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
อุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย
คือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พรุโต๊ะแดง”
ในจังหวัดนราธิวาสมีเนื้อที่ทั้งหมด
125,625 ไร่

ระบบนิเวศป่าชายเลน

ป่าชนิดนี้มักปรากฏอยู่ตามที่ดินเลนและริมทะเล หรือบริเวณปากน้ำ
ของแม่น้ำสายใหญ่ที่มีน้ำเค็มท่วมถึง นอกจากนี้ยังพบได้ตามชายฝั่ง
ทั้งทะเลอันดามันและอ่าวไทย เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้มีลักษณะดินอ่อน

ต้นไม้ที่ขึ้นในป่าชายเลน
จึงมักมีรากค้ำยันและรากหายใจ

พรรณไม้ที่ขึ้นตามป่าชายเลน ส่วนมากเป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก
โดยส่วนใหญ่เป็นไม้ในวงศ์โกงกาง และพรรณไม้อื่น ๆ
อาทิ ต้นแสมทะเล ลำพูน โปรง ปอทะเล

สัตว์โดดเด่นที่พบ อาทิ ลิงแสม เสือปลา ปูก้ามดาบ ปลาตีน เป็นต้น
ป่าชายเลนเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ที่มีความเฉพาะตัว

เป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์และมนุษย์
รวมถึงแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำขนาดเล็ก

นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องป้องกันแนวชายฝั่งจากคลื่นลม
ป้องกันการพังทลายของชายฝั่ง ดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และเป็นเสมือนตัวกรองสารพิษจากผืนดินไม่ให้ไหลลงสู่ชายฝั่งอีกด้วย

จังหวัดบนคาบสมุทรไทย
ที่มีพื้นที่ป่าชายเลนมากที่สุด คือ

จังหวัดพังงา
(417.11 ตารางกิโลเมตร)

จังหวัดกระบี่
(350.14 ตารางกิโลเมตร)

จังหวัดสตูล
(347.21 ตารางกิโลเมตร)

พื้นที่ชุ่มน้ำปรากฏอยู่ ในหลากหลายพื้นที่

ไม่ว่าจะอยู่ในป่าหรือชายฝั่ง ซึ่งภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่มากที่สุดในประเทศไทย

จากการศึกษาข้อมูลของนักวิจัย ทำให้เราพบว่า

ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเป็นบ้านของสัตว์
หลายชีวิต ทั้งยังมีเอกลักษณ์ที่หาได้
เฉพาะที่แห่งนี้เท่านั้น

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จำต้องปรับตัวให้เข้ากับพื้นที่
และสภาพแวดล้อมที่แปรผันอยู่เสมอ

คลิกรับข้อมูล “สิ่งมีชีวิตในทะเลสาบสงขลา”

สัตว์เลื้อยคลาน และ
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก

บริเวณภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรมลายู เป็น Hotspot
ที่มีการพบสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกเป็นจำนวนมาก โดยในบริเวณทะเลสาบสงขลา
มีการค้นพบสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 11 ชนิด ในบริเวณที่มีน้ำขัง อาทิ ทุ่งนา หนอง บึง
และมีการค้นพบสัตว์เลื้อยคลาน 27 ชนิด ซึ่ง 20 ชนิดในจำนวนนี้เป็นงูทั้งสิ้น

งูงวงช้าง

งูผ้าขี้ริ้ว / งูม้าลาย

ขอขอบคุณภาพสัตว์จาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)

นก

นกเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไป ลักษณะของนก เป็นผลจากวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ
นกรูปร่างต่างกันอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน เช่น นกน้ำที่พบได้ที่ทะเลสาบสงขลา
จะปรับตัวเพื่อให้ดำรงชีวิตได้ที่ผิวน้ำและใต้น้ำรวมถึงการปรับตัวของจะงอยปากของนกแต่ละชนิด
ให้เข้ากับการหาอาหารและการปรับตัวของรูปร่างเพื่อเกาะบนพื้นผิวต่าง ๆ หรือเดินบนพื้นดิน

นกกาบบัว

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

มีการพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด 24 ชนิดบริเวณทะเลสาบสงขลา โดยในจำนวนนี้
มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ 2 ชนิด และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์
3 ชนิด ปัจจุบัน เนื่องจากสภาพแวดล้อมบริเวณทะเลสาบสงขลามีการเปลี่ยนแปลง
ไปอย่างมาก ทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและการบุกรุกพื้นที่ทั้งทางบกและทางน้ำของมนุษย์
จึงทำให้สัตว์ที่เป็นชนิดเฉพาะถิ่นอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์

ค้างคาวหน้ายักษ์จมูกปุ่ม

นากเล็กเล็บสั้น

เสือปลา

ขอขอบคุณภาพสัตว์จาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)

ปลา

ทะเลสาบสงขลามีทางเปิดเชื่อมออกสู่ทะเลอ่าวไทย และติดต่อกับแม่น้ำลำคลอง
หลายสาย จึงมีระบบนิเวศที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล
ทำให้มีสัตว์น้ำหลากหลายและหมุนเวียนอยู่ตลอดปี โดยมีการสำรวจพบพันธุ์ปลา
ในบริเวณนี้ประมาณ 465 ชนิด

ปลาตะเพียนขาว

ปลากระทิงไฟ

ขอขอบคุณภาพสัตว์จาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)

สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง

เราสามารถพบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังได้หลากหลายชนิดทั่วบริเวณทะเลสาบสงขลา
ไม่ว่าจะเป็นไส้เดือนทะเล แมลงน้ำ ครัสเตเชียนขนาดเล็ก กั้ง กุ้ง ปู หอย

ทะเลสาบสงขลามีสภาพระบบนิเวศแบบลากูน ประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำจืด บริเวณทะเลน้อย
และแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ น้ำกร่อย บริเวณทะเลสาบตอนบนส่วนล่าง และทะเลสาบตอนกลาง
และน้ำเค็ม บริเวณทะเลสาบตอนล่าง และชายฝั่งทะเลอ่าวไทย

นอกจากนี้ ทะเลสาบสงขลายังอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล อยู่ติดกับพื้นดินที่มี
ความลาดชันน้อยและค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ทำให้มีการสะสมของธาตุอาหาร
ที่มาจากการชะล้างผิวหน้าดินลงสู่แหล่งน้ำดึงดูดให้สัตว์หลายชนิดเข้ามาพักพิง
อาศัยในบริเวณนี้

ปูแสมก้ามแดง

หอยถั่วเขียว

ด้วงเต่าทองบัว

ขอขอบคุณภาพด้วงเต่าทองบัวจาก องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)
และภาพหอยถั่วเขียวจาก ผศ. พงษ์รัตน์ ดำรงโรจน์วัฒนา มหาวิทยาลัยบูรพา

10 สิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจในพื้นที่ชุ่มน้ำ

ที่หาดูได้ในพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี

นกกวัก

วงศ์ : Rallidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Amaurornis phoenicurus
ชื่อสามัญ : White-breasted waterhen

กบว้ากใหญ่

วงศ์ : Ranidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pulchrana glandulosa
ชื่อสามัญ : Rough-sided Frog

ปูนาม่วง

วงศ์ : Gecarcinucidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sayamia germaini
ชื่อสามัญ : Purple paddy field crab

นกอีโก้ง

วงศ์ : Rallidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Porphyrio porphyrio
ชื่อสามัญ : Purple swamphen

นกยางกรอกพันธุ์จีน

วงศ์ : Ardeidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ardeola bacchus
ชื่อสามัญ : Chinese pond heron

กบทูด

วงศ์ : Dicroglossidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Limnonectes blythii
ชื่อสามัญ : Giant Asian river frog

งูเหลือม

วงศ์ : Pythonidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Malayopython reticulatus
ชื่อสามัญ : Reticulated python

งูลายสอลายสามเหลี่ยม

วงศ์ : Colubridae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Xenochrophis trianguligerus
ชื่อสามัญ : Triangle keelback

เหี้ย

วงศ์ : Varanidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Varanus salvator
ชื่อสามัญ : Water monitor

นกกาน้ำเล็ก

วงศ์ : Phalacrocoracidae
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Microcarbo niger
ชื่อสามัญ : Little cormorant

5 เกร็ดความรู้เด็ด ๆ
เกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำจากนักวิจัย

รู้หรือไม่

ปลาดุกลำพัน (Clarias nieuhofii) มีอยู่เฉพาะที่ภาคใต้

อ่านต่อ

รู้หรือไม่

ทำไมกระดองปูมักแข็ง

อ่านต่อ

รู้หรือไม่

พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับโลกหรือแรมซาร์ไซต์ (Ramsar site) ในไทยมีอยู่ 15 แห่ง ซึ่งมี 9 แห่ง อยู่ในภาคใต้

อ่านต่อ

รู้หรือไม่

ตำนานช้างแคระแห่งทะเลน้อย

อ่านต่อ

รู้หรือไม่

เกาะพระทองเป็นแหล่งทำรังวางไข่ในธรรมชาติแห่งสุดท้ายของนกตะกรุมในประเทศไทย

อ่านต่อ

เรียนรู้กันมาจนถึงตรงนี้น่าจะเข้าใจมากขึ้นแล้วว่า

พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญแค่ไหน ?

พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก แต่พื้นที่ชุ่มน้ำกำลังเจอวิกฤติ
จากการรุกรานของมนุษย์ ทั้งโดยตั้งใจและไม่รู้ตัว สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปโดยมีต้นเหตุ
มาจากมนุษย์จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตจำนวนมากในบริเวณนี้

มาดูกันหน่อยว่า ตัวคุณเอง เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำด้วยวิธีไหนบ้าง ?









BACK TO

SELECT ROUTE

กลับไปเลือกเส้นทางอีกครั้ง

กลับสู่หน้าหลัก
Privacy Preferences

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save