Skip to the content
✕
THAI PENNINSULA
ภาคใต้ แหล่งรวมชีวิต
ROUTE 4
THAI
PENNINSULA
0/2
ภาคใต้ แหล่งรวมชีวิตคาบสมุทรไทย
เลื่อนลงเพื่อดูต่อ ↓
ชีวิตในดินแดน
คาบสมุทรไทย
เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
จากการศึกษาพบว่าสรรพชีวิต
ในดินแดนคาบสมุทรไทยน่าจะมีมาตั้งแต่
500 ล้านปีที่แล้ว
เป็นอย่างน้อย
รอยอดีตของชีวิต
ในคาบสมุทรไทยยุคดึกดำบรรพ์
อาจจะเห็นชัดเจนที่นี่ อุทยานธรณีสตูล ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ
ของจังหวัดสตูล ได้แก่ ทุ่งหว้า มะนัง ละงู และเมืองสตูล
พบหลักฐานของโลกใต้ทะเลเมื่อ 500 ล้านปีมาแล้ว นั่นคือ
“ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ทะเล
อายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย”
ในหินทรายสีแดงบนเกาะตะรุเตา ตรงกับยุคแคมเบรียน (Cambrian)
ธรณีกาล
ในยุคแรกของมหายุคพาเลโอโซอิก (Paleozoic)
ยุคของ “แบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียว”
รวมถึงสัตว์มีกระดองต่าง ๆ ได้เกิดขึ้น
และอาศัยอยู่ในทะเล
แผ่นดินบริเวณนี้ยังจมอยู่ใต้ทะเล แม้แต่ไดโนเสาร์และมนุษย์
ก็ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา นอกจากนี้ ยังพบซากดึกดำบรรพ์อื่น ๆ
อีกเป็นจำนวนมาก
ตั้งแต่
444 ล้านปีก่อน
ในช่วงต้นยุคเพอร์เมียน (Permian) คาบสมุทรไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของอนุทวีปชานไทยก็ได้แยกตัวออกจากแผ่นทวีปกอนด์วานา (Gondwana) ที่อยู่ทางซีกโลกใต้
เคลื่อนที่ขึ้นมาชนกับแผ่นทวีปอินโดจีน (Indochina) ที่เป็นภาคอีสานของไทยเมื่อช่วงปลายยุคไทรแอสซิก (Triassic) ผ่านการเวลา และการเคลื่อนตัวทางธรณีวิทยา
จนมาถึงปัจจุบัน ที่มีความหลากหลายทั้งซากดึกดำบรรพ์และสิ่งมีชีวิต
ต่อมา ถ้ำกลายเป็น
“บ้านหลังแรกของมนุษย์”
มีการค้นพบเครื่องมือที่ทำจากกระดูกสัตว์และซากกระดูกสัตว์ในถ้ำที่มีความสูงจากพื้นดินกว่า 30 เมตร สันนิษฐานได้ว่า เริ่มมีมนุษย์อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งแต่ 6,000 ปีก่อน
การค้นพบสิ่งมีชีวิตหลากสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็น
ซากดึกดำบรรพ์หรือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยบริเวณ “อุทยานธรณีสตูล”
สะท้อนให้เห็นว่า ณ คาบสมุทรไทย
มีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลาย
ทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต
ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยล้านปีถึงปัจจุบัน
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คาบสมุทรไทยมีความเป็นมาหลายร้อยล้านปีแล้ว
และหลายชีวิตได้พึ่งพาอาศัยทุกชีวิตบนพื้นที่แห่งนี้มาอย่างยาวนาน
เมื่อ“อุทยานธรณีสตูล” สะสมความอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์
จึงกลายเป็นแหล่งสำคัญ
ด้านธรรมชาติวิทยาอีกแห่งที่น่า
ค้นหาในคาบสมุทรไทย
และเป็นอีกพื้นที่ศึกษาของ “พวกเรา”
นักอนุกรมวิธาน
จากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี
แต่ยังมีพื้นที่อื่น ๆ อีกมากมายที่เราได้ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับ
คาบสมุทรไทย เพื่อถ่ายทอดความรู้สู่วงกว้าง
500 ล้านปี สู่ 6,000 ปี
จากยุคดึกดำบรรพ์ สู่ยุคมนุษย์ถ้ำ
โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สิ่งมีชีวิต
เกิดวิวัฒนาการและการปรับตัว เพื่อให้อยู่รอดในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ
บางชนิดก็สูญพันธุ์ บางชนิดก็อยู่ในเฉพาะถิ่น
แต่ก็มีสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่สามารถปรับตัวให้อยู่ได้
ในทุกสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะสัตว์ที่มีขนาดเล็กอย่าง
แมลง
ที่มีถิ่นอาศัยกระจายอยู่ทั่วโลก
หนึ่งในนั้นคือ
“แมลงหางดีด”
แมลงที่มีวิวัฒนาการเก่าแก่ที่สุด มีการพบฟอสซิล
แมลงหางดีดที่มีอายุย้อนกลับไปถึง 411 ล้านปีซึ่ง
ตรงกับยุคดีโวเนียน (Devonian)
แมลงหางดีดจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ขาปล้อง
ไม่มีปีก มีรูปร่างขนาดเล็กความยาวประมาณ 1-2 มิลลิเมตร
มีความพิเศษ คือ หางซึ่งใช้ในการดีดตัวเพื่อเคลื่อนที่
เมื่อตกใจหรือใช้หลบหนีศัตรู มีคอลโลฟอร์
(Collophore) หรือติ่งที่ยื่นออกมาจากท้องปล้องแรก
มีหน้าที่ควบคุม สมดุลของเหลวในร่างกาย
และช่วยในการยึดเกาะ
บทบาทสำคัญของแมลงหางดีด
คือ ช่วยย่อยสลายซากอินทรียวัตถุต่าง ๆ ทำให้มีการหมุนเวียน
ของธาตุอาหาร ช่วยปรับโครงสร้างของดิน และมีบทบาทสำคัญ
ในห่วงโซ่และสายใยอาหาร
มีรายงานการค้นพบแมลงหางดีด
กว่า 9,000 ชนิดทั่วโลก
แต่เพราะพวกมันมีขนาดเล็กและมีข้อมูลอ้างอิงจำกัด จึงมีการศึกษาแมลงชนิดนี้ไม่มากนัก
แต่พิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี
มีนักอนุกรมวิธาน
ที่ศึกษากลุ่มแมลงหางดีด
ซึ่งเป็นแมลงโบราณที่เป็นรอยต่อของวิวัฒนาการที่สำคัญระหว่าง
สัตว์ขาปล้องในกลุ่มครัสเตเชีย (Crustacea) ซึ่งส่วนใหญ่อาศัย
อยู่ในน้ำกับกลุ่มแมลงที่แท้จริง (Entognatha) ซึ่งอาศัยอยู่บนบก
แมลงหางดีดบางชนิดเป็นตัวบ่งชี้
ความสำคัญของคอคอดกระ
ที่เป็นรอยต่อสำคัญในการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตตามหลัก
สัตว์ภูมิศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แมลงหางดีดจัดว่า เป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการปรับตัวได้สูง
คาบสมุทรไทยมีการค้นพบแมลงหางดีด
ในถ้ำกว่า 90 ชนิด บางชนิดพบได้เฉพาะ
ถ้ำในภาคใต้ของประเทศไทยเท่านั้น
มีคำกล่าวว่า “ถ้ำ”
เป็นเสมือนเกาะแห่งความ
หลากหลายทางชีวภาพ
คลิกรับข้อมูลเพิ่มเติม
ในบรรดาสิ่งมีชีวิต
หลากหลายสายพันธุ์ ที่อาศัยบนโลกนั้น
เริ่มต้นจากในทะเล
ก่อนที่จะมีวิวัฒนาการต่อเนื่อง
เรื่อยมาจนถึงบนบก
สิ่งมีชีวิตอย่าง “มนุษย์”
เพิ่งถือกำเนิดและมีวิวัฒนาการมาไม่นาน
หากเทียบกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ
จากการศึกษาพบว่า
สายพันธุ์มนุษย์มีต้นกำเนิดมาจาก
กลุ่มไพรเมต (Primate)
ต่อมาวิวัฒนาการจากกลุ่มลิงไม่มีหางจำพวกชิมแปนซี
และกว่าจะมาเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบันยังมี
มนุษย์สายพันธุ์อื่น ๆ
ที่ได้ถือกำเนิดและมี
วิวัฒนาการขึ้นมาก่อนอีกด้วย
มนุษย์โฮโมเซเปียนส์
(Homo sapiens)
คือ บรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบันมีวิวัฒนาการในช่วง
200,000 ปีที่แล้วตรงกับยุคไพลส์โตซีน (Pleistocene)
หรือ 1.8 ล้านปี ถึง 1 หมื่นปีก่อน
บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันกระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ
ทั่วโลก โดยเริ่มจากทวีปแอฟริกาในประเทศไทยพบหลักฐาน
ของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดกระบี่
บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันสายพันธุ์นี้
จัดว่าฉลาดหลักแหลมกว่ามนุษย์รุ่นอื่นๆ
หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
นอกจากความแตกต่างทางกายภาพแล้ว ก็มีสมองขนาดใหญ่
บรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบันจึงสามารถปรับตัวและสร้างสรรค์
สิ่งต่าง ๆ เป็นที่มาของชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า โฮโมเซเปียนส์
ในภาษาละตินแปลว่า “มนุษย์ฉลาด”
สงสัยไหม ?
“มนุษย์โฮโมเซเปียนส์” มีวิวัฒนาการ
ร่วมสมัยกับสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ใดบ้าง ?
คำตอบคือ ไม่มีเลย
เพราะสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติมากมายถือกำเนิดและดำรงชีวิตมานานก่อนที่จะมีมนุษย์เสียอีก ซึ่งสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์มีการปรับตัวมานาน
กว่าร้อยล้านปี
มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ที่เพิ่งกำเนิดขึ้น เมื่อ 200,000 ปีที่แล้ว จึงถือเป็นสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ลำดับท้าย ๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้นั่นเอง
เคยสงสัยหรือไม่
ทำไมเราจึงพบสิ่งมีชีวิตหลายชนิดกระจาย
อยู่ทั่วโลก สิ่งมีชีวิตเดินทางจนไปถึงอีก
ซีกโลกได้อย่างไร ?
ที่จริงแล้ว
สิ่งมีชีวิตอาจจะอาศัยหรือวิวัฒนาการ
อยู่กับที่ แต่สิ่งที่เคลื่อนที่ คือ
“แผ่นเปลือกโลก” ต่างหาก
รู้หรือไม่
แผนที่โลกยุคปัจจุบันไม่เหมือนในอดีตนะ
ว่ากันว่ารูปร่างโค้งเว้าของแต่ละทวีปสามารถประสานกันเป็นผืนเดียวได้
มีการค้นพบซากฟอสซิลที่เหมือนกันในต่างทวีปหรือพบสิ่งมีชีวิตที่
เหมือนกันในทวีปที่ห่างไกลกัน
จึงเกิดทฤษฎีว่า โลกเคยมีเพียงทวีปเดียวเรียกว่า
“พันเจีย” (Pangaea)
ประกอบด้วย “ลอเรเซีย” (Laurasia) ดินแดนทางตอนเหนือ และ
“กอนด์วานา” (Gondwana) ดินแดนทางตอนใต้
ก่อนที่แผ่นเปลือกโลกจะค่อย ๆ
เคลื่อนที่จนมีรูปร่างหน้าตาแบบแผนที่ที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลาหลายล้านปี
โลกไม่เคยหยุดนิ่ง
การเคลื่อนตัวของแมกมา (Magma)
ที่อยู่ใต้ชั้นเปลือกโลก
ทำให้แผ่นเปลือกโลกไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว
แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว
ปีละ 4 เซนติเมตร เท่ากับต้องใช้เวลา
ประมาณ 500 ล้านปี ในการเคลื่อนที่ไปยังอีกซีกโลก ทำให้ทวีปต่าง ๆ ค่อย ๆ แยกออกจากกัน เราเรียกว่า “กระบวนการแปรสัณฐาน ของเปลือกโลก” (Plate tectonic)
กระบวนการแปรสัณฐานของเปลือกโลก
ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ
ที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา หุบเหว แอ่งขนาดใหญ่อย่างทะเล
มหาสมุทร และอื่น ๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ กระบวนการ
แปรสัณฐานของเปลือกโลก
ยังก่อให้เกิดแรงอัด แรงดึง และแรงเฉือนในชั้นหิน
ทำให้เกิดรอยคดโค้ง รอยเลื่อน ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติอย่าง
แผ่นดินไหว สึนามิ หรือภูเขาไฟระเบิด ได้เช่นกัน
หน้าตาของแผนที่โลก
ที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันมีลักษณะ
ใกล้เคียงกับโลกเมื่อ 150 ล้านปีที่ผ่านมา
และยังคงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ โดยที่มนุษย์อาจไม่ทันรู้สึก
กำเนิดประเทศไทย
ปัจจุบัน โลกของเรามีแผ่นเปลือกโลก
ที่สำคัญ 13 แผ่น
และยังมีแผ่นเปลือกโลกอีกหลายขนาดซึ่งเป็นที่ตั้งของ
แผ่นดินน้อยใหญ่
ประเทศไทยประกอบด้วย
แผ่นเปลือกโลกขนาดเล็ก
เชื่อมกัน 2 แผ่น
คือ แผ่นเปลือกโลกชาน-ไทยและแผ่นเปลือกโลกอินโดจีน ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของกอนด์วานาดินแดนทางตอนใต้ของโลก
เดิมแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นนี้ ไม่ได้อยู่ติดกัน จนเมื่อช่วงปลายยุคไทรแอสซิก เมื่อประมาณสองร้อยกว่าล้านปีที่ผ่านมา ได้เคลื่อนตัวมาชนกัน กลายเป็น “คาบสมุทรมลายู” และเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชียเมื่อ 50-75 ล้านปีก่อน แผ่นดินไทยในคาบสมุทรมลายู ก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน
แผ่นเปลือกโลกชาน-ไทย
ครอบคลุมบริเวณคาบสมุทรไทย
หรือภาคใต้
รวมถึงภาคเหนือ ภาคตะวันตก ตลอดจนบางส่วนของมาเลเซีย
และตอนเหนือของเกาะสุมาตรา
แผ่นเปลือกโลกอินโดจีน ครอบคลุมบริเวณภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทย
ในอดีต พื้นที่แห่งนี้เป็นแอ่งใหญ่รับตะกอนจากแม่น้ำหลายสายซึ่งเกิดจากภูเขา
ที่ยกตัวขึ้นในยุคก่อน ทำให้เกิดการสะสมตัวของกลุ่มหินทรายเป็นชั้นหนา
ในคาบสมุทรไทย มี 2 รอยเลื่อยสำคัญ คือ
รอยเลื่อนระนอง และ
รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย
ซึ่งเป็นรอยเลื่อนมีพลังที่ยังมีโอกาสในการเคลื่อนตัวได้อีกครั้ง
และมีแนวโน้มที่จะเกิดแผ่นดินไหวได้ในอีก 10-100 ปี
ปัจจุบันมนุษย์ยังไม่สามารถคาดการณ์เรื่องแผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ
การรู้จักรอยเลื่อนจึงเป็นอีกหนึ่งองค์ความรู้ในการรับมือกับปรากฏการณ์
ทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องศึกษา
เรื่องธรรมชาติในมิติต่าง ๆ
ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
ความหลากหลายทาง
ภูมิประเทศของภาคใต้
ส่วนหนึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกร่วมกับ
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
กลายเป็นความโดดเด่นของคาบสมุทรไทย
ฝั่งอ่าวไทย
เกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกทำให้มีที่ราบหรือสันทรายหลายแห่ง
ฝั่งอันดามัน
เกิดจากการทรุดตัวของเปลือกโลกทำให้มีที่ราบแคบและมีเกาะแก่งมาก
มีที่ราบยาวขนานไปกับแนวเทือกเขา
คาบสมุทรไทยมีแนวเทือกเขาสำคัญทอดตัวยาวในแนวเหนือ–ใต้
คือ เทือกเขานครศรีธรรมราช เปรียบเสมือนแกนกลางของภาค
อยู่ทางฝั่งตะวันออกยาวจรดมาเลเซีย เทือกเขาภูเก็ต อยู่ทาง
ฝั่งทะเลตะวันตกของภาคใต้ นอกจากนี้ ยังมีเทือกเขา
สันกาลาคีรี กั้นพรมแดนไทยกับมาเลเซีย เทือกเขาตะนาวศรี
กั้นพรมแดนไทยกับพม่า ระหว่างเทือกเขาดังกล่าวจะประกอบด้วย
ภูเขาจำนวนมากที่เรียงตัวต่อเนื่องกันไป
มีแม่น้ำสายสั้น ๆ
ที่สำคัญหลายสายไหลลงสู่อ่าวไทย อาทิ
แม่น้ำตาปี แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำชุมพร เป็นต้น
มีแหล่งเก็บน้ำจืดขนาดใหญ่
อย่างทะเลสาบสงขลา
คาบสมุทรไทยกลายเป็นแหล่งรวม
ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์
ที่มีทั้ง ภูเขา ป่า ที่ราบ ที่ชุ่มน้ำ
ชายฝั่ง จรดท้องทะเลลึก
ส่งผลให้มีสิ่งมีชีวิตนานาชนิดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ภาคใต้
โดยสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ของคาบสมุทรที่มีสภาพไม่คงที่
ส่งผลให้ที่นี่เป็นแหล่งรวมของ
สิ่งมีชีวิต ซึ่งบางชนิดสามารถพบได้
เฉพาะที่คาบสมุทรไทยเท่านั้น
10 สิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ
ที่พบในคาบสมุทรภาคใต้
หาดูได้ในพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี
5 ข้อเท็จจริงของคาบสมุทรไทย
ที่คุณอาจไม่เคยรู้
รู้หรืà¸à¹„ม่
คาบสมุทรไทยà¸à¹‡à¸¡à¸µà¹„ดโนเสาร์
อ่านต่อ
คาบสมุทรไทยà¸à¹‡à¸¡à¸µà¹„ดโนเสาร์
เป็นข้à¸à¸¡à¸¹à¸¥à¸—ี่ไม่เป็นที่ทราบà¸à¸±à¸™à¸—ั่วไปนัภว่าคาบสมุทรไทยซึ่งตั้งà¸à¸¢à¸¹à¹ˆà¸šà¸™à¸à¸™à¸¸à¸—วีปชาน-ไทยà¸à¹‡à¸žà¸šà¸£à¸²à¸¢à¸‡à¸²à¸™à¸Ÿà¸à¸ªà¸‹à¸´à¸¥à¸‚à¸à¸‡à¹„ดโนเสาร์ด้วย โดยเป็นชิ้นส่วนà¸à¸£à¸°à¸”ูà¸à¸ªà¸±à¸™à¸«à¸¥à¸±à¸‡à¸«à¸™à¸¶à¹ˆà¸‡à¸Šà¸´à¹‰à¸™à¸ˆà¸²à¸à¸«à¸¡à¸§à¸”หินคลà¸à¸‡à¸¡à¸µà¸™ ที่ à¸.คลà¸à¸‡à¸—่à¸à¸¡ จ.à¸à¸£à¸°à¸šà¸µà¹ˆ ซึ่งเป็นà¸à¸¥à¸¸à¹ˆà¸¡à¸«à¸´à¸™à¸—ี่เà¸à¸´à¸”จาà¸à¸à¸²à¸£à¸ªà¸°à¸ªà¸¡à¸•à¸±à¸§à¸‚à¸à¸‡à¸•à¸°à¸à¸à¸™à¸šà¸™à¸ าคพื้นทวีปในช่วงยุคจูà¹à¸£à¸ªà¸‹à¸´à¸à¸•à¸à¸™à¸à¸¥à¸²à¸‡-ตà¸à¸™à¸›à¸¥à¸²à¸¢ ผลà¸à¸²à¸£à¸¨à¸¶à¸à¸©à¸²à¹€à¸›à¸£à¸µà¸¢à¸šà¹€à¸—ียบฟà¸à¸ªà¸‹à¸´à¸¥à¹‚ดยนัà¸à¸šà¸£à¸£à¸žà¸Šà¸µà¸§à¸´à¸™à¸§à¸´à¸—ยาระบุว่าฟà¸à¸ªà¸‹à¸´à¸¥à¸ˆà¸²à¸à¸à¸£à¸°à¸šà¸µà¹ˆà¸¡à¸µà¸„วามใà¸à¸¥à¹‰à¹€à¸„ียงà¸à¸±à¸šà¹„ดโนเสาร์คà¸à¸¢à¸²à¸§à¸ªà¸à¸¸à¸¥à¸¡à¸²à¹€à¸¡à¸™à¸Šà¸µà¸‹à¸à¸£à¸±à¸ª (Mamenchisaurus) à¹à¸¥à¸° เà¸à¹‹à¸à¹€à¸«à¸¡à¸¢à¸‹à¸à¸£à¸±à¸ª (Omeisaurus) ในวงศ์มาเมนชีซà¸à¸£à¸´à¸”ี้ (Mamenchisauridae) ซึ่งสะท้à¸à¸™à¹ƒà¸«à¹‰à¹€à¸«à¹‡à¸™à¸§à¹ˆà¸²à¸à¸™à¸¸à¸—วีปชาน-ไทยน่าจะเชื่à¸à¸¡à¸•à¹ˆà¸à¸à¸±à¸šà¹€à¸à¹€à¸Šà¸µà¸¢à¸ าคพื้นทวีปตั้งà¹à¸•à¹ˆà¸¡à¸«à¸²à¸¢à¸¸à¸„มีโซโซà¸à¸´à¸à¸à¸²à¸ˆà¸ˆà¸°à¸•à¸±à¹‰à¸‡à¹à¸•à¹ˆà¸à¹ˆà¸à¸™à¸¢à¸¸à¸„จูà¹à¸£à¸ªà¸‹à¸´à¸
รู้หรืà¸à¹„ม่
à¸à¹ˆà¸²à¸§à¹„ทยเคยเป็นผืนดินà¸à¸§à¹‰à¸²à¸‡à¹ƒà¸«à¸à¹ˆà¸¡à¸²à¸à¹ˆà¸à¸™
อ่านต่อ
à¸à¹ˆà¸²à¸§à¹„ทยเคยเป็นผืนดินà¸à¸§à¹‰à¸²à¸‡à¹ƒà¸«à¸à¹ˆà¸¡à¸²à¸à¹ˆà¸à¸™
ภาพà¹à¸œà¸™à¸—ี่à¹à¸„บ ๆ ขà¸à¸‡à¸ าคใต้ขà¸à¸‡à¹„ทย สะท้à¸à¸™à¸¥à¸±à¸à¸©à¸“ะภูมิประเทศขà¸à¸‡à¹à¸œà¹ˆà¸™à¸”ินในบริเวณนี้ที่โผล่พ้นทะเลขึ้นมา à¸à¸¥à¸²à¸¢à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸„าบสมุทรยาวเหยียด ขนาบด้วยทะเลà¸à¸±à¹ˆà¸‡à¸à¹ˆà¸²à¸§à¹„ทยà¹à¸¥à¸°à¸à¸±à¸™à¸”ามัน à¹à¸•à¹ˆà¹à¸—้จริงà¹à¸¥à¹‰à¸§à¹à¸œà¹ˆà¸™à¸”ินบริเวณนี้เคยà¹à¸œà¹ˆà¸‚ยายต่à¸à¹€à¸™à¸·à¹ˆà¸à¸‡à¸à¸§à¹‰à¸²à¸‡à¹ƒà¸«à¸à¹ˆà¸•à¹ˆà¸³à¸¥à¸‡à¹„ปทางตะวันà¸à¸à¸ เรียà¸à¸§à¹ˆà¸²à¹à¸œà¹ˆà¸™à¸”ินซุนดา à¸à¸±à¸™à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸—้à¸à¸‡à¸—ะเลà¸à¹ˆà¸²à¸§à¹„ทยในปัจจุบันนั่นเà¸à¸‡ à¸à¸²à¸£à¸•à¸·à¹‰à¸™à¹€à¸‚ินเป็นà¹à¸œà¹ˆà¸™à¸”ินบริเวณนี้เà¸à¸´à¸”จาà¸à¸ªà¸ าวะที่โลà¸à¹€à¸‚้าสู่ยุคน้ำà¹à¸‚็ง ซึ่งมีวงรà¸à¸šà¸à¸²à¸£à¹€à¸à¸´à¸”ซ้ำเรื่à¸à¸¢à¸¡à¸² โดยน้ำทะเลจะถูà¸à¹€à¸›à¸¥à¸µà¹ˆà¸¢à¸™à¸£à¸¹à¸›à¹„ปเป็นน้ำà¹à¸‚็งà¹à¸œà¹ˆà¸‚ยายจาà¸à¸‚ั้วโลà¸à¹€à¸‚้ามาจนถึงเขตà¸à¸šà¸à¸¸à¹ˆà¸™à¸«à¸£à¸·à¸à¹ƒà¸à¸¥à¹‰à¹€à¸‚ตร้à¸à¸™ น้ำปริมาณมหาศาลที่หายไปà¸à¸¢à¸¹à¹ˆà¸šà¸™à¸žà¸·à¹‰à¸™à¸—วีปในรูปขà¸à¸‡à¸˜à¸²à¸£à¸™à¹‰à¸³à¹à¸‚็งจะทำให้ปริมาณน้ำทะเลในมหาสมุทรลดหายไป ทำให้พื้นทะเลใต้à¸à¹ˆà¸²à¸§à¹„ทยโผล่ขึ้นมาà¸à¸¥à¸²à¸¢à¹€à¸›à¹‡à¸™à¹à¸œà¹ˆà¸™à¸”ินà¸à¸§à¹‰à¸²à¸‡à¹ƒà¸«à¸à¹ˆà¹„ด้
รู้หรืà¸à¹„ม่
คาบสมุทรไทย ตัวขวางà¸à¸±à¹‰à¸™à¸—างภูมิศาสตร์ขà¸à¸‡à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸—ะเล
อ่านต่อ
คาบสมุทรไทยเป็นตัวขวางà¸à¸±à¹‰à¸™à¸—างภูมิศาสตร์ขà¸à¸‡à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸—ะเล
สัตว์ทะเลหลายชนิดที่หน้าตาคล้ายà¸à¸±à¸™ à¹à¸•à¹ˆà¹ƒà¸™à¸—ะเลà¸à¸±à¹ˆà¸‡à¸à¹ˆà¸²à¸§à¹„ทยà¹à¸¥à¸°à¸à¸±à¸™à¸”ามันà¸à¸¥à¸±à¸šà¸–ูà¸à¸¨à¸¶à¸à¸©à¸²à¸žà¸šà¸§à¹ˆà¸²à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸•à¹ˆà¸²à¸‡à¸Šà¸™à¸´à¸”à¸à¸±à¸™ สามารถพบได้ตั้งà¹à¸•à¹ˆà¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸à¸¥à¸¸à¹ˆà¸¡à¸›à¸¥à¸² à¸à¸¥à¸¸à¹ˆà¸¡à¸à¸¸à¹‰à¸‡ à¸à¸±à¹‰à¸‡ ปู à¹à¸¥à¸°à¸à¸¥à¸¸à¹ˆà¸¡à¹à¸¡à¸¥à¸‡à¸—ี่มีตัวà¸à¹ˆà¸à¸™à¸à¸²à¸¨à¸±à¸¢à¹ƒà¸™à¸™à¹‰à¸³à¹€à¸„็ม ซึ่งเดิมมัà¸à¸ˆà¸°à¸–ูà¸à¸™à¸±à¸à¸à¸™à¸¸à¸à¸£à¸¡à¸§à¸´à¸˜à¸²à¸™à¸ˆà¸±à¸”จำà¹à¸™à¸à¹ƒà¸«à¹‰à¸•à¸±à¸§à¸—ี่หน้าตาคล้ายà¸à¸±à¸™à¸ˆà¸²à¸à¸—ั้ง 2 à¸à¸±à¹ˆà¸‡à¸”ังà¸à¸¥à¹ˆà¸²à¸§à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸Šà¸™à¸´à¸”เดียวà¸à¸±à¸™ à¹à¸•à¹ˆà¹ƒà¸™à¸›à¸±à¸ˆà¸ˆà¸¸à¸šà¸±à¸™ ความà¸à¹‰à¸²à¸§à¸«à¸™à¹‰à¸²à¸—างเทคนิคในà¸à¸²à¸£à¸¨à¸¶à¸à¸©à¸²à¸—างด้านà¸à¸™à¸¸à¸à¸£à¸¡à¸§à¸´à¸˜à¸²à¸™ ที่มีà¸à¸²à¸£à¸§à¸´à¹€à¸„ราะห์ถึงระดับ DNA à¸à¹‡à¹„ด้à¹à¸¢à¸à¹ƒà¸«à¹‰à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸—ี่ต่างชนิดà¸à¸±à¸™à¸à¸à¸à¸¡à¸²à¹„ด้ ซึ่งทำให้ลัà¸à¸©à¸“ะภายนà¸à¸à¸—ี่à¹à¸•à¸à¸•à¹ˆà¸²à¸‡à¸à¸±à¸™à¹€à¸¥à¹‡à¸à¸™à¹‰à¸à¸¢ à¸à¸¥à¸²à¸¢à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸¥à¸±à¸à¸©à¸“ะที่ใช้จำà¹à¸™à¸à¹ƒà¸™à¸£à¸°à¸”ับชนิด à¹à¸¡à¹‰à¹ƒà¸™à¸›à¸±à¸ˆà¸ˆà¸¸à¸šà¸±à¸™à¸ˆà¸°à¸”ูเหมืà¸à¸™à¸›à¸£à¸°à¸Šà¸²à¸à¸£à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸—ั้ง 2 à¸à¸±à¹ˆà¸‡à¸ˆà¸°à¸à¸¢à¸¹à¹ˆà¹ƒà¸à¸¥à¹‰à¸à¸±à¸™à¸¡à¸²à¸ à¹à¸•à¹ˆà¹ƒà¸™à¸Šà¹ˆà¸§à¸‡à¸¢à¸¸à¸„น้ำà¹à¸‚็ง à¹à¸œà¹ˆà¸™à¸”ินซุนดาที่à¸à¸§à¹‰à¸²à¸‡à¹ƒà¸«à¸à¹ˆà¹€à¸Šà¸·à¹ˆà¸à¸¡à¸•à¹ˆà¸à¸ˆà¸™à¸–ึงหมู่เà¸à¸²à¸°à¸‚à¸à¸‡à¸›à¸£à¸°à¹€à¸—ศà¸à¸´à¸™à¹‚ดนีเซียà¸à¹‡à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸•à¸±à¸§à¸à¸µà¸”ขวางที่ทำให้สัตว์ทะเลทั้งสà¸à¸‡à¸à¸±à¹ˆà¸‡ มีโà¸à¸à¸²à¸ªà¹ƒà¸™à¸à¸²à¸£à¸žà¸šà¹€à¸ˆà¸à¹à¸¥à¸à¹€à¸›à¸¥à¸µà¹ˆà¸¢à¸™à¸žà¸±à¸™à¸˜à¸¸à¸à¸£à¸£à¸¡à¸à¸±à¸™à¹„ด้ยาภจนประชาà¸à¸£à¸‚à¸à¸‡à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸ˆà¸³à¸™à¸§à¸™à¸«à¸™à¸¶à¹ˆà¸‡à¹à¸¢à¸à¸ªà¸²à¸¢à¸à¸à¸à¹„ปเป็นต่างชนิด
รู้หรืà¸à¹„ม่
ค้างคาวสามารถ “มà¸à¸‡à¹€à¸«à¹‡à¸™â€ โดยใช้เสียง à¹à¸¥à¸°à¹„ม่ใช่à¹à¸„่เสียงโซนาร์
อ่านต่อ
ค้างคาวสามารถ “มà¸à¸‡à¹€à¸«à¹‡à¸™â€ โดยใช้เสียง à¹à¸¥à¸°à¹„ม่ใช่à¹à¸„่เสียงโซนาร์
ค้างคาวà¸à¸´à¸™à¹à¸¡à¸¥à¸‡à¸¡à¸µà¸„วามสามารถในà¸à¸²à¸£à¹ƒà¸Šà¹‰à¸„ลื่นเสียงความถี่สูงในà¸à¸²à¸£à¸à¸³à¸«à¸™à¸”ทิศทางà¹à¸¥à¸°à¸«à¸²à¸à¸²à¸«à¸²à¸£ ซึ่งเราเรียà¸à¸à¸£à¸°à¸šà¸§à¸™à¸à¸²à¸£à¸™à¸µà¹‰à¸§à¹ˆà¸² à¸à¸²à¸£à¸«à¸²à¸•à¸³à¹à¸«à¸™à¹ˆà¸‡à¸§à¸±à¸•à¸–ุจาà¸à¸à¸²à¸£à¸ªà¸°à¸—้à¸à¸™à¸à¸¥à¸±à¸šà¸‚à¸à¸‡à¹€à¸ªà¸µà¸¢à¸‡ หรืภEcholocation เช่นเดียวà¸à¸±à¸šà¸«à¸¥à¸±à¸à¸à¸²à¸£à¸‚à¸à¸‡à¹‚ซนาร์ในเรืà¸à¸”ำน้ำ วาฬ à¹à¸¥à¸°à¹‚ลมา ค้างคาวสร้างเสียงนี้ขึ้นจาà¸à¸à¸²à¸£à¸«à¸”ตัวขà¸à¸‡à¸à¸¥à¹ˆà¸à¸‡à¹€à¸ªà¸µà¸¢à¸‡ (Larynx) à¹à¸¥à¸°à¸ªà¸²à¸¡à¸²à¸£à¸–พบได้ในค้างคาวà¸à¸´à¸™à¹à¸¡à¸¥à¸‡à¸—ุà¸à¸Šà¸™à¸´à¸” เราเรียà¸à¹€à¸ªà¸µà¸¢à¸‡à¹‚ซนาร์ขà¸à¸‡à¸„้างคาวพวà¸à¸™à¸µà¹‰à¸§à¹ˆà¸² Laryngeal echolocation นั่นเà¸à¸‡
à¹à¸•à¹ˆà¹ƒà¸™à¸„้างคาวà¸à¸´à¸™à¸œà¸¥à¹„ม้ส่วนใหà¸à¹ˆà¸¡à¸±à¸à¹„ม่ได้ใช้ Laryngeal echolocation à¹à¸•à¹ˆà¹ƒà¸Šà¹‰à¸•à¸²à¸—ี่มีความไวต่à¸à¹à¸ªà¸‡à¸¡à¸²à¸à¹à¸¥à¸°à¸ˆà¸¡à¸¹à¸à¸—ี่ไวต่à¸à¸à¸¥à¸´à¹ˆà¸™à¸¡à¸²à¸ ประà¸à¸à¸šà¸à¸±à¸šà¸à¸²à¸£à¹ƒà¸Šà¹‰à¹€à¸ªà¸µà¸¢à¸‡à¸ªà¸°à¸—้à¸à¸™ à¸à¸¢à¹ˆà¸²à¸‡à¹ƒà¸™à¸„้างคาวà¸à¸´à¸™à¸œà¸¥à¹„ม้บางชนิด à¸à¸²à¸—ิ ค้างคาวบัว (Rousettus aegyptiacus) พบว่ามีà¸à¸²à¸£à¹ƒà¸Šà¹‰ Echolocation ที่ต้นà¸à¸³à¹€à¸™à¸´à¸”เสียงจะเà¸à¸´à¸”จาà¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸°à¸”à¸à¸¥à¸´à¹‰à¸™ (Tongue click) นà¸à¸à¸ˆà¸²à¸à¸™à¸±à¹‰à¸™à¸à¹‡à¸¡à¸µà¸à¸²à¸£à¸¢à¸·à¸™à¸¢à¸±à¸™à¹à¸¥à¹‰à¸§à¸§à¹ˆà¸² ในค้างคาวà¸à¸´à¸™à¸œà¸¥à¹„ม้à¸à¸µà¸à¸à¸¢à¹ˆà¸²à¸‡à¸™à¹‰à¸à¸¢ 3 ชนิด คืภค้างคาวเล็บà¸à¸¸à¸” (Eonycteris spelaea) ค้างคาวขà¸à¸šà¸«à¸¹à¸‚าวเล็ภ(Cynopterus brachyotis) à¹à¸¥à¸°à¸„้างคาวหน้ายาวใหà¸à¹ˆ (Macroglossus sobrinus) à¸à¹‡à¸ªà¸²à¸¡à¸²à¸£à¸–ใช้ Echolocation ได้เช่นà¸à¸±à¸™à¹€à¸¡à¸·à¹ˆà¸à¸à¸¢à¸¹à¹ˆà¹ƒà¸™à¸—ี่มืดสนิท à¹à¸•à¹ˆà¹€à¸›à¹‡à¸™à¸„ลื่นเสียงที่เà¸à¸´à¸”จาà¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸°à¸žà¸·à¸à¸›à¸µà¸ (Wing flapping)
รู้หรืà¸à¹„ม่
คาบสมุทรไทยเป็น
ทางà¹à¸¢à¸à¸‚à¸à¸‡à¸ªà¸±à¸‡à¸„มสิ่งมีชีวิต
อ่านต่อ
คาบสมุทรไทยเป็นทางà¹à¸¢à¸à¸‚à¸à¸‡à¸ªà¸±à¸‡à¸„มสิ่งมีชีวิต
ภาคใต้ตั้งà¸à¸¢à¸¹à¹ˆà¸šà¸™à¸ªà¸¸à¸”ขà¸à¸‡à¹€à¸‚ตสัตวภูมิศาสตร์ย่à¸à¸¢à¸‹à¸¸à¸™à¸”า ตà¸à¸™à¸šà¸™à¸•à¸´à¸”à¸à¸±à¸šà¹€à¸‚ตสัตวภูมิศาสตร์ย่à¸à¸¢à¸à¸´à¸™à¹‚ดจีน เคยผ่านà¸à¸£à¸°à¸šà¸§à¸™à¸à¸²à¸£à¸—างธรณีวิทยาà¹à¸¥à¸°à¸à¸²à¸£à¹€à¸›à¸¥à¸µà¹ˆà¸¢à¸™à¹à¸›à¸¥à¸‡à¸ªà¸ าพภูมิà¸à¸²à¸à¸²à¸¨à¸¡à¸²à¸¢à¸²à¸§à¸™à¸²à¸™à¸•à¹ˆà¸à¹€à¸™à¸·à¹ˆà¸à¸‡ ไม่ว่าจะเป็นยà¸à¸•à¸±à¸§à¸«à¸£à¸·à¸à¸ˆà¸¡à¸•à¸±à¸§à¸‚à¸à¸‡à¹à¸œà¹ˆà¸™à¸”ิน à¸à¸²à¸£à¹€à¸žà¸´à¹ˆà¸¡à¸‚ึ้นหรืà¸à¸¥à¸”ลงขà¸à¸‡à¸£à¸°à¸”ับน้ำทะเลในà¸à¸”ีต ทำให้ส่งผลต่à¸à¸§à¸´à¸§à¸±à¸’นาà¸à¸²à¸£à¹à¸¥à¸°à¸à¸²à¸£à¹à¸žà¸£à¹ˆà¸à¸£à¸°à¸ˆà¸²à¸¢à¸‚à¸à¸‡à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸à¸¢à¹ˆà¸²à¸‡à¸¡à¸²à¸ à¸à¸²à¸£à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸žà¸·à¹‰à¸™à¸—ี่รà¸à¸¢à¸•à¹ˆà¸à¸«à¸£à¸·à¸ “ทางà¹à¸¢à¸â€ ขà¸à¸‡à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸°à¸ˆà¸²à¸¢à¸™à¸µà¹‰à¸—ำให้สามารถพบสิ่งชีวิตที่มาจาà¸à¸—ั้งสà¸à¸‡à¹€à¸‚ตย่à¸à¸¢à¹„ด้ ทำให้ภาคใต้à¸à¸¥à¸²à¸¢à¹€à¸›à¹‡à¸™à¹à¸«à¸¥à¹ˆà¸‡à¸£à¸§à¸¡à¸Šà¸µà¸§à¸´à¸•à¸—ี่หลาà¸à¸«à¸¥à¸²à¸¢à¸ªà¸¹à¸‡à¸¡à¸²à¸ ในขณะเดียวà¸à¸±à¸™à¸¡à¸µà¸ˆà¸³à¸™à¸§à¸™à¸¡à¸²à¸à¸—ี่เป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะในคาบสมุทรไทยเท่านั้น ซึ่งคนทั่วไปยังไม่ค่à¸à¸¢à¸£à¸¹à¹‰à¹€à¸à¸µà¹ˆà¸¢à¸§à¸à¸±à¸šà¹€à¸£à¸·à¹ˆà¸à¸‡à¸™à¸µà¹‰à¸¡à¸²à¸à¸™à¸±à¸ à¹à¸•à¹ˆà¸™à¸±à¸à¸§à¸´à¸ˆà¸±à¸¢à¸‚à¸à¸‡à¸žà¸´à¸žà¸´à¸˜à¸ ัณฑ์ฯ à¸à¹‡à¹„ด้มีà¸à¸²à¸£à¸¨à¸¶à¸à¸©à¸²à¸ªà¸±à¸•à¸§à¹Œà¸«à¸¥à¸²à¸à¸«à¸¥à¸²à¸¢ à¸à¸¥à¸¸à¹ˆà¸¡à¹€à¸žà¸·à¹ˆà¸à¸—ี่จะเข้าใจปราà¸à¸à¸à¸²à¸£à¸“์à¹à¸¥à¸°à¸£à¸¹à¸›à¹à¸šà¸šà¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸°à¸ˆà¸²à¸¢à¹€à¸«à¸¥à¹ˆà¸²à¸™à¸µà¹‰à¹ƒà¸«à¹‰à¸¡à¸²à¸à¸‚ึ้น
ในจำนวนชนิดที่พบในภาคใต้เท่านั้นà¸à¹‡à¸¡à¸µà¸«à¸¥à¸²à¸¢à¸Šà¸™à¸´à¸”ที่à¸à¸£à¸°à¸ˆà¸²à¸¢à¸à¸§à¹‰à¸²à¸‡à¸¥à¸‡à¹„ปถึงเà¸à¸²à¸°à¸•à¹ˆà¸²à¸‡ ๆ ขà¸à¸‡à¸¡à¸²à¹€à¸¥à¹€à¸‹à¸µà¸¢à¹à¸¥à¸°à¸à¸´à¸™à¹‚ดนีเซีย เช่น เà¸à¸²à¸°à¸Šà¸§à¸² เà¸à¸²à¸°à¸šà¸à¸£à¹Œà¹€à¸™à¸µà¸¢à¸§ à¹à¸•à¹ˆà¹ƒà¸™à¸‚ณะเดียวà¸à¸±à¸™à¸à¹‡à¸¡à¸µà¸„้างคาวหลายชนิดที่คล้ายà¸à¸±à¸šà¸•à¸´à¸”เà¸à¸²à¸° พบเฉพาะในคาบสมุทรไทยมาเลย์เท่านั้น à¸à¸¥à¸²à¸¢à¹€à¸›à¹‡à¸™à¸„้างคาวเฉพาะถิ่นสุด ๆ เช่น ค้างคาวหน้ายัà¸à¸©à¹Œà¸à¸¸à¸¡à¸ à¸à¸£à¸£à¸“ (ภาคใต้ตà¸à¸™à¸à¸¥à¸²à¸‡) ค้างคาวà¹à¸§à¸¡à¹„พร์à¹à¸›à¸¥à¸‡à¸—à¸à¸‡à¸à¸²à¸£à¸µà¸¢à¹Œ (ป่าบาลา) ค้างคาวจมูà¸à¸«à¸¥à¸à¸”บาลา (ป่าบาลาà¹à¸¥à¸°à¸•à¸à¸™à¸à¸¥à¸²à¸‡à¸¡à¸²à¹€à¸¥à¹€à¸‹à¸µà¸¢) ซึ่งนำไปสู่คำถามต่à¸à¸¡à¸²à¸§à¹ˆà¸²à¸—ำไมหรืà¸à¸à¸°à¹„รเป็นปัจจัยทำให้พวà¸à¸¡à¸±à¸™à¸ˆà¸¶à¸‡à¸žà¸šà¸à¸¢à¸¹à¹ˆà¹à¸„่พื้นที่นี้เท่านั้น? à¹à¸•à¹ˆà¸—ี่à¹à¸™à¹ˆà¸Šà¸±à¸”คืà¸à¸ าคใต้ขà¸à¸‡à¹„ทยเป็นรà¸à¸¢à¸•à¹ˆà¸à¸—ี่สามารถเป็นโมเดลขà¸à¸‡à¸à¸²à¸£à¸¨à¸¶à¸à¸©à¸²à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸°à¸ˆà¸²à¸¢à¸‚à¸à¸‡à¸ªà¸´à¹ˆà¸‡à¸¡à¸µà¸Šà¸µà¸§à¸´à¸•à¸—ี่ดีมาภๆ
ความจริงแล้ว สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลก ไม่ได้มีความพิเศษ
กว่าสิ่งมีชีวิตที่เราพบเห็นกันโดยทั่วไปในชีวิตประจำวันแต่อย่างใด
คำว่า “ชนิดใหม่” (New species)
เป็นเพียงคำที่ใช้เรียกสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยมีนักอนุกรมวิธานพบและบันทึก
เพื่อเผยแพร่มาก่อน แต่คนในท้องถิ่นอาจพบเห็นอยู่แล้วเป็นปกติก็ได้
สิ่งมีชีวิตที่ค้นพบโดยนักวิจัยจากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา
๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี ยังมีอีกหลายชนิด
ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับคาบสมุทรไทย
คาบสมุทรไทย
จึงเป็นขุมทรัพย์ความรู้ทางธรรมชาติ
ของประเทศอีกแห่ง ที่มีเรื่องให้เรียนรู้อย่างไม่มีวันจบ
BACK TO
SELECT ROUTE
กลับไปเลือกเส้นทางอีกครั้ง
กลับสู่หน้าหลัก
ธรณีกาลคืออะไร ?
ในการศึกษาเกี่ยวกับยุคดึกดำบรรพ์ นักธรณีวิทยาได้กำหนดมาตราทางธรณีกาล (Geological time scale)
คือ การแบ่งเวลานับตั้งแต่โลกเกิดขึ้นเมื่อราว 4,600 ล้านปีที่แล้ว มาจนถึงปัจจุบัน
ได้แก่ บรมยุค (Eon) มหายุค (Era) ยุค (Period) และสมัย (Epoch)
โดยทั้งหมดมี 3 บรมยุค (Eon) คือ
- อาร์คีโอโซอิค (Archaeozoic) เป็นบรมยุคแรกของโลก
- โพรเทอโรโซอิค (Proterozoic) เป็นภาษากรีก แปลว่า สิ่งมีชีวิตเพิ่งอุบัติขึ้น
- ฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic) เป็นภาษากรีก แปลว่า มีสิ่งมีชีวิตปรากฏให้เห็น
ซึ่งในแต่ละบรมยุคจะถูกแยกย่อยลงไปอีก
อนุกรมวิธาน (Taxonomy)
วิชาที่ว่าด้วยการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต เพื่อความสะดวกในการศึกษาและนำมาใช้ประโยชน์ เพราะโลกประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาล ซึ่งแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน และบางชนิดมีความคล้ายคลึงกัน ดังนั้น นักอนุกรมวิธาน หมายถึง นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาและจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการจัดจำแนกสิ่งมีชีวิตเป็นหมวดหมู่ (Classification) การตรวจสอบหาชื่อวิทยาศาสตร์ (Identification) และการกำหนดชื่อวิทยาศาสตร์ (Nomenclature)
รู้หรือไม่ ? แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก
นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า แมลงมีจำนวนมากเกือบครึ่งหนึ่งของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่บนโลก หรือประมาณ 1.5-30 ล้านชนิด แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ได้มีการศึกษาและบันทึกไว้ แมลงจึงเป็นกลุ่มของสัตว์ที่จัดว่า มีความหลากหลายมากที่สุดในโลก และประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิตมากที่สุด ในประเทศไทยมีแมลงไม่น้อยกว่า 105,000 ชนิด แต่มีการจำแนกและตั้งชื่อไว้แล้วประมาณ 10,000 ชนิด
ปัจจุบัน แมลงมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการรบกวนของมนุษย์ แม้แมลงบางชนิดจะสร้างความน่ารำคาญใจ แต่รู้ไหมว่า ถ้าหากโลกนี้ไม่มีแมลง อาจส่งผลกระทบจนทำให้ระบบนิเวศล่มสลายได้เลยทีเดียว
สัตว์ขาปล้องคืออะไร ?
สัตว์ขาปล้องหรือสัตว์ขาข้อ (Arthropoda) คือ กลุ่มของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในไฟลัมอาร์โธพอด (Arthropod) โดยมีลักษณะของลำตัวและรยางค์เป็นปล้อง ๆ มีโครงสร้างแข็งปกคลุมร่างกาย (Exoskeleton) และเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายของชนิดมากที่สุดในโลก มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกได้อย่างยอดเยี่ยม
ตัวอย่างสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มนี้ อาทิ แมงดาทะเล แมงมุม เห็บ กุ้ง ปู กิ้งกือ ตะขาบ และแมลงต่าง ๆ เป็นต้น
ความหลากหลายทางชีวภาพคืออะไร ?
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) หมายถึง การมีสิ่งมีชีวิตนานาชนิด
หลากหลายพันธุ์ในระบบนิเวศซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
- ความหลากหลายของชนิด (Species Diversity) หมายถึง ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตในพื้นที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นจำนวนสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ หรือสัดส่วนของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่มีอยู่
- ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic Diversity) หมายถึง ความหลากหลายของยีน (Gene) ที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาจมีลักษณะพันธุกรรมที่แตกต่างกันได้
- ความหลากหลายของระบบนิเวศ (Ecosystem Diversity) หมายถึง แหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีปัจจัยจากความหลากหลายของถิ่นตามธรรมชาติ ความหลากหลายของการทดแทน และความหลากหลายของภูมิประเทศที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในพื้นที่ต่าง ๆ เกิดมีวิวัฒนาการจากการปรับตัวในแต่ละระบบนิเวศ
สิ่งมีชีวิตแรกบนโลกคืออะไร ?
ไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่เมื่อ 3,500 ล้านปีก่อน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ซับซ้อน มีการค้นพบว่า โครงสร้างของไซยาโนแบคทีเรีย คือ ต้นกำเนิดของพืช โดยการเข้าไปอยู่ในเซลล์ใหม่ที่มีนิวเคลียส เพื่อทำหน้าที่สร้างอาหารให้กับเซลล์ และวิวัฒนาการเป็นเซลล์พืชที่สามารถสร้างอาหารเองได้ด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสง (Photosynthesis) คือ มีคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) นั่นเอง โดยอาจเป็นเซลล์เดี่ยวรูปกลมหรือรูปแท่งที่สร้างเอนโดสปอร์ (Endospore) หรืออาจอยู่กันเป็นกลุ่มเซลล์หรือเป็นเส้นสายก็ได้
ไพรเมตคืออะไร ?
มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์กลุ่มไพรเมต (Primate) ซึ่งถือเป็น กลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีพัฒนาการสูงที่สุด แรกเริ่มสันนิษฐานว่า ไพรเมตเป็นสัตว์กินแมลง อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มีลักษณะคล้ายกระแต ออกหากินในเวลากลางคืน ต่อมาได้มีการปรับตัวและหากินในเวลากลางวันโดยห้อยโหนต้นไม้คล่องขึ้น จนวิวัฒนาการมาเป็นลิง ก่อนจะวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์
ชวนดูวิวัฒนาการมนุษย์
ก่อนที่บรรพบุรุษมนุษย์ยุคปัจจุบันหรือมนุษย์โฮโมเซเปียนส์จะกำเนิดขึ้น ในสมัยไมโอซีน ราว 7 ล้านปีก่อน วิวัฒนาการของสัตว์ไพรเมตที่เชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ ได้เกิด “โฮมินอยด์” (Hominoid) กลุ่มลิงไร้หางและมนุษย์
- โฮมินอยด์สำคัญที่พบในสมัยไมโอซีนตอนต้น โพรคอนซุล (Proconsul) อะโฟรพิเทคัส (Afropithecus) โมโรโตพิเทคัส (Morotopithecus)
- โฮมินอยด์สำคัญที่พบในสมัยไมโอซีนตอนกลาง เคนยาพิเทคัส (Kenyapithecus) เทอร์แคนาพิเทคัส (Turkanapithecus) ไดรโอพิเทคัส (Dryopithecus)
- ฮมินอยด์สำคัญที่พบในสมัยไมโอซีนตอนปลาย ศิวะพิเทคัส (Sivapithecus) ลูเฟงพิเทคัส (Lufengpithecus)
จากโฮมินอยด์ได้มีวิวัฒนาการกลายเป็น “โฮมินิดส์” ที่ถือว่าเป็น บรรพบุรุษของมนุษย์รุ่นแรก ๆ มีการเดินสองขา มีสมองขนาดใหญ่และใบหน้ามีขนาดเล็กลงตามขนาดของกรามที่หดลง ปัจจุบันพบว่าโฮมินิดส์มีทั้งหมด 4 สกุล แต่ยังมีสายพันธุ์ที่แยกย่อยในแต่ละสกุลอีกมากมาย และบางสกุลก็มีช่วงเวลาชีวิตที่คาบเกี่ยวกัน
ซาเฮลแอนโทรปัส (Sahelanthropus) บรรพบุรุษเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ที่เคยมีการค้นพบรวมทั้งอาจเป็นบรรพบุรุษร่วมของมนุษย์กับซิมแปนซี
ออร์โรริน (Orrorin) เชื่อว่าเป็นมนุษย์รุ่นแรก มีการค้นพบส่วนกระดูกขาที่ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ออร์โรรินน่าจะเดินสองขาได้แล้ว
อาร์ดิพิเทคัสรามิดัส (Ardipithecus ramidus) โฮมินิดส์ที่มีความเก่าแก่อีกหนึ่งสายพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกันอย่าง Ardipithecus Kadabba เดิมเคยเชื่อว่าเป็นชนิดย่อย แต่ภายหลังได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นคนละชนิดกันและมีความเก่าแก่มากกว่า
ออสตราโลพิเทคัส (Australopithecus) หรือ มนุษย์วานร มีการแยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ โรบัสต์ออสตราโลพิเทซีนส์ (Robust Australopithecines) มีฟันกรามใหญ่ และขากรรไกรใหญ่แข็งแรง ส่วนอีกสายหนึ่งมีวิวัฒนาการในการปรับตัว สายพันธุ์นี้เรียกว่า สายพันธุ์โฮโม (Homo) ที่เป็นต้นเค้าของบรรพบุรุษของมนุษย์รุ่นใหม่ในเวลาต่อมา
ชวนดูวิวัฒนาการของมนุษย์โฮโม
มนุษย์ดึกดำบรรพ์ในสกุลโฮโมถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 2 ล้านปีก่อน เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีวิวัฒนาการจนเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งมีการค้นพบแล้ว 9 สายพันธุ์ ได้แก่ โฮโมแฮบิลิส (Homo habilis) โฮโมรูดอล์ฟเฟนซิส (Homo rudolfensis) โฮโมเออร์แกสเตอร์ (Homo ergaster) โฮโมอีเรกตัส (Homo erectus) โฮโมแอนติเซสเซอร์ (Homo antecesser) โฮโมไฮเดลเบอร์เกนซิส (Homo heildelbergensis) โฮโมโรดีเซียนซิส (Homo rhodesiensis) โฮโมนีแอนเดอร์ธาลเอนซิส (Homo neanderthalensis) โฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens)
นอกเหนือจากนี้ยังมีการค้นพบ โฮโมฟลอเรไซเอนซิส (Homo floresiensis) ที่มีโครงสร้างร่างกายขนาดเล็กหรือเรียกว่า ‘ฮอบบิต’ (Hobbit) ที่อาศัยอยู่บนเกาะฟลอเรสของอินโดนีเซียจนถึงราว 50,000 ปีที่แล้วอีกด้วย
สมองใหญ่หมายถึงฉลาด ใช่หรือไม่ ?
มนุษย์โฮโมเซเปียนส์มีขนาดสมองใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบสัดส่วนระหว่างสมองกับอวัยวะอื่นภายในร่างกายทั้งหมดเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ขนาดของสมองไม่ได้บ่งชี้ถึงความฉลาดหรือระดับสติปัญญา เพราะสิ่งมีชีวิตบางชนิด แม้จะไม่มีสมองก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ยืนยาวมาหลายล้านปี และสิ่งมีชีวิตหลายชนิดก็มีสัญชาตญาณในการดำรงชีวิตและมีความชาญฉลาดไม่แพ้มนุษย์
ทำไมถึงตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตเป็นภาษาละติน ?
เหตุที่ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตเป็นภาษาละตินก็เพราะ ภาษาละตินเป็นภาษาที่ตายแล้ว คือ ไม่มีผู้ใช้ภาษานี้แล้วในปัจจุบัน จึงทำให้ความหมายของคำต่าง ๆ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง และยังคงเดิมตลอดไป ซึ่งง่ายต่อการศึกษาหรือสืบวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การเรียกชื่อวิทยาศาสตร์เป็นภาษาละติน ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะบางครั้งก็มีการผสมผสานภาษากรีกเข้าไปด้วย
กำเนิดสัตว์เลื้อยคลาน
สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เริ่มมีวิวัฒนาการตั้งแต่ 280 ล้านปีที่แล้ว และวิวัฒนาการไปหลายทาง อาทิ ไดโนเสาร์ สัตว์เลื้อยคลานที่สามารถบินได้ ซึ่งกลายเป็นบรรพบุรุษของนก และสัตว์เลื้อยคลานที่คล้ายคลึงกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นต้น
แมลงปอโบราณ
แมลงปอเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ มีวิวัฒนาการเริ่มต้นตั้งแต่ 300 ล้านปีมาแล้ว ในอดีตแมลงปอมีขนาดใหญ่กว่าในปัจจุบันมาก ขนาดความยาวของปีกรวมกันประมาณ 29 นิ้ว แต่ปัจจุบันขนาดความยาวของแมลงปอเฉลี่ยอยู่ที่ 7.5 นิ้วเท่านั้น
ต้นไม้โบราณ
ในช่วง 354–295 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งตรงกับยุคคาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) เป็นยุคกำเนิดป่าผืนใหญ่ของป่าเฟิร์นขนาดยักษ์ ปกคลุมห้วย หนอง และคลอง มีการแพร่พันธุ์ของแมลงและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เริ่มมีวิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลานและกำเนิดไม้ตระกูลสน
แมกมาคืออะไร ?
“แมกมา” (Magma) หมายถึง หินหลอมเหลวที่อยู่ใต้เปลือกโลก
เมื่อปะทุออกมาจากเปลือกโลกจะเรียกว่า “ลาวา” (Lava)
โครงสร้างของโลกมีอะไรบ้าง ?
นักธรณีวิทยาแบ่งโครงสร้างภายในของโลกออกเป็น 3 ส่วน คือ
- เปลือกโลก (Crust) คือ ผิวโลกชั้นนอก มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นซิลิกาไดออกไซด์ และอะลูมิเนียมออกไซด์ ประกอบด้วยเปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร
- เนื้อโลก (Mantle) คือ ส่วนซึ่งอยู่ใต้เปลือกโลกลงไปจนถึงระดับความลึก 2,900 กิโลเมตร มีองค์ประกอบหลักเป็นซิลิคอนออกไซด์ แมกนีเซียมออกไซด์ และเหล็กออกไซด์
- แก่นโลก (Core) คือ ส่วนที่อยู่ใจกลางของโลก มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็ก
ลักษณะการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกเป็นอย่างไร ?
ลักษณะการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกมีอยู่ 3 แบบ
- แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ออกจากกัน เกิดจากการดันตัวของแมกมาทำให้เปลือกโลกแยกออกจากกัน การเคลื่อนตัวแบบนี้อาจจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ มี 2 ลักษณะ
การเคลื่อนที่แยกออกจากกันจากแผ่นเปลือกโลกทวีป ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่
เกิดการทรุดตัวจนกลายเป็นทะเลขนาดเล็ก
การเคลื่อนที่แยกออกจากกันจากแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร ทำให้มหาสมุทรขยายตัวได้
- แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่เข้าหากัน การเคลื่อนมาชนกัน อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรือเกิดสึนามิในมหาสมุทรได้ มี 3 ลักษณะ
แผ่นเปลือกโลกทวีปชนกัน ทำให้เกิดเป็นเทือกเขาสูง
แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรชนกัน ทำให้เกิดเป็นเกาะต่าง ๆ และมักเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง
แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรชนแผ่นเปลือกโลกทวีป ทำให้แผ่นเปลือกโลกทวีปยกตัวขึ้น กลายเป็นภูเขาสูงริมชายฝั่งทะเล
- แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนสวนกัน ทำให้เกิดรอยเลื่อนขนาดใหญ่และเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงได้
รายชื่อแผ่นเปลือกโลกที่สำคัญในปัจจุบันมีอะไรบ้าง ?
จากทฤษฎีทวีปเลื่อนและทวีปแยกมารวมกันตั้งเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาโดยกล่าวไว้ว่า เปลือกโลกทั้งหมดแบ่งออกเป็นแผ่นที่สำคัญ 13 แผ่น โดยแต่ละแผ่นจะมีขอบเขตเฉพาะ และแผ่นเปลือกโลกก็ยังคงเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ได้แก่ อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยูเรเซีย แอฟริกา อินเดีย แปซิฟิก แอนตาร์กติก ฟิลิปปินส์ อาหรับ สกอเทีย โกโก้ แคริเบียน และนาซก้า
ข้อนี้กล่าวถูกต้องแล้วจ้า
ประเทศไทยเกิดจากแผ่นเปลือกโลกอินโดจีนและแผ่นเปลือกโลกชาน-ไทยเคลื่อนตัวมาชนกัน จนเกิดเป็นคาบสมุทรมลายูตั้งแต่เมื่อ 220 ล้านปีที่แล้ว และเมื่อ 50-75 ล้านปีก่อน แผ่นดินไทยในคาบสมุทรมลายูก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน
ข้อนี้กล่าวถูกต้องแล้วจ้า
รู้ไหม ? ถ้ำที่พบมากที่สุดในประเทศไทย คือ ถ้ำภูเขาหินปูน พบมากในภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคตะวันตก
เนื่องจากถ้ำตามธรรมชาติมักเกิดจากปฏิกิริยาการละลายของน้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรดกับหินปูน
ทำให้เกิดเป็นแร่แคลไซต์และกลายเป็นหินงอก-หินย้อย
ข้อนี้แหละที่กล่าวผิด
ซากดึกดำบรรพ์ คือ หลักฐานสำคัญที่สามารถบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทั้งในอดีตและปัจจุบันได้ ไม่ว่าจะเป็น วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต พิสูจน์ทฤษฎีทางธรณีวิทยา และยังสามารถบอกได้ว่า สภาพภูมิอากาศในยุคก่อนเป็นอย่างไรด้วย ตัวอย่างเช่น การพบซากใบไม้ที่สามารถบอกปริมาณน้ำฝน หรือแม้กระทั่งอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลานั้น
ข้อนี้กล่าวถูกต้องแล้วจ้า
แมลงหางดีด จัดเป็นสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่มีมาตั้งแต่ 411 ล้านปีที่แล้ว ทั้งยังเป็นตัวบ่งชี้รอยต่อวิวัฒนาการที่สำคัญระหว่างกลุ่มครัสเตเชีย (Crustacea) ที่อาศัยอยู่ในน้ำ กับกลุ่มแมลงที่แท้จริง (Entognatha) ซึ่งอาศัยอยู่บนบก นอกจากนี้ แมลงหางดีดยังเป็นตัวบ่งชี้ความสำคัญของการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตในบางพื้นที่ได้อีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ค่างแว่นถิ่นใต้มีขนสีเทาดำ มีวงตาสีขาวเห็นชัดเจนคล้ายกับใส่แว่น หางยาวมาก ยาวกว่าความยาวหัวและลำตัวรวมกัน โคนขาและโคนแขนด้านนอกเป็นสีเทาจาง สีขนที่หางเป็นสีดำ ลูกค่างเกิดใหม่สีขนจะเป็นสีทอง
น่าสนใจอย่างไร:
ค่างแว่นถิ่นใต้เป็นไพรเมทที่กินใบไม้และผลไม้เป็นอาหารหลัก หรือกินแมลงบางชนิดเป็นอาหารเสริมในบางครั้งด้วย อยู่รวมกันเป็นฝูงซึ่งอาจเยอะได้ถึง 30 ตัว ลูกค่างวัยเด็กจะเกาะอกแม่ตลอด และมีขนสีส้มเข้มโดดเด่นมาก ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้สมาชิกในฝูงมองเห็นและช่วยกันสอดส่องดูแลได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้สัตว์ผู้ล่ารวมถึงมนุษย์มองเห็นมันได้ง่ายเช่นกัน การที่ลูกค่างตัวสีส้มสวยน่ารักนี้ทำให้คนบางกลุ่มอยากนำไปเลี้ยง ซึ่งจำเป็นต้องฆ่าแม่ค่างด้วยจึงจะเอาลูกค่างออกจากอกแม่ได้ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนที่มีความเชื่อว่าเลือดค่างเป็นยาบำรุงเลือดและสามารถเสริมสมรรถภาพทางเพศได้ ทำให้ค่างเป็นหนึ่งในเป้าหมายของขบวนการล่าและค้าสัตว์ป่า ค่างแว่นถิ่นใต้พบได้ในป่าเฉพาะในภาคใต้ขึ้นไปถึงจังหวัดราชบุรี ปัจจุบันมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (Endangered; EN)
ลักษณะทั่วไป
ค้างคาวขนาดใหญ่ หูยาวมาก ติ่งหูเป็นรูปดาบสองแฉก แผ่นจมูกตั้งขึ้นเป็นรูปวงกลมคล้ายแผ่นดิสก์ ขนสีน้ำตาล พบเฉพาะที่ป่าฮาลาบาลาเท่านั้น
น่าสนใจอย่างไร:
เป็นค้างคาวสกุลใหม่และชนิดใหม่ โดย ดร.พิพัฒน์ สร้อยสุข นักวิจัยจากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี ม.สงขลานครินทร์ ร่วมกับสถานีวิจัยสัตว์ป่าป่าพรุ-ป่าฮาลาบาลา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกันค้นพบค้างคาวสกุลใหม่และชนิดใหม่ของโลก มีลักษณะที่แตกต่างจากอีก 4 สกุลที่มีในวงศ์นี้ โดยมีแผ่นจมูกเป็นรูปวงกลม จึงตั้งชื่อสกุลว่า Eudiscoderma ที่หมายถึงแผ่นจมูกเป็นรูปวงกลมคล้ายแผ่นดิสก์ และตั้งชื่อชนิดว่า Eudiscoderma thongareeae เพื่อเป็นเกียรติแก่คุณศิริพร ทองอารีย์ อดีตหัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าป่าพรุ-ป่าฮาลาบาลา ผู้ทำงานวิจัยเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าในพื้นที่ภาคใต้ของไทยมาตลอดชีวิตราชการจนกระทั่งเกษียนอายุ โดยค้างคาวชนิดนี้ถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 2001 และเข้าใจว่าน่าจะเป็นค้างคาวชนิดใหม่ในสกุล Megaderma ที่พบได้ทั่วไปในเอเชีย แต่หลังจากมีตัวอย่างเพิ่มเติมและทีมนักวิจัยได้เทียบเคียงกับตัวอย่างค้างคาวสกุลอื่น ๆ ในออสเตรเลียและแอฟริกาแล้วพบว่าจริง ๆ แล้วเป็นค้างคาวสกุลใหม่
ลักษณะทั่วไป
ชิ้นส่วนฟันกรามบนของค้างคาวกลุ่มค้างคาวท้องสีน้ำตาลที่มีขนาดใหญ่ โดยใหญ่กว่าฟันกรามของค้างคาวท้องสีน้ำตาลใหญ่ (Eptesicus serotinus) ซึ่งเป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ที่พบในปัจจุบันอย่างชัดเจน
น่าสนใจอย่างไร:
พบฟอสซิลชิ้นส่วนฟันกรามของค้างคาวชนิดนี้ ซึ่งทำให้เราทราบว่าค้างคาวชนิดนี้มีชีวิตอยู่เมื่อปลายยุคไพลสโตซีน ประมาณ 16,350 ปีที่แล้ว เป็นฟอสซิลค้างคาวชนิดใหม่ที่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้วและไม่พบค้างคาวสกุลเดียวกันนี้อีกเลยในพื้นที่ภาคใต้ของไทย โดยตั้งชื่อเพื่อให้เป็นเกียรติแก่ รองศาสตราจารย์ ดร.จุฑามาส ศตสุข ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ฟอสซิลค้างคาวชนิดใหม่นี้พบที่ถ้ำเขาขาว อำเภอสะเดา จ.สงขลา
ลักษณะทั่วไป
ค้างคาวขนาดเล็ก ขนด้านหลังสีเทาอมเหลือง ขนด้านท้องสั้นกว่าและสีเทาซีดกว่า จมูกยื่นเป็นท่อ ลักษณะทั่วไปคล้ายกลับค้างคาวจมูกหลอดหูสั้น (Murina cyclotis ) ที่พบในตอนบนของไทยและภูมิภาคอินโดจีน หรือเรียกได้ว่าเป็นคู่เหมือนแต่พบต่างเขตสัตวภูมิศาสตร์ ปัจจุบันค้างคาวจมูกหลอดหูสั้นใต้พบกระจายทั่วไปในป่าของคาบสมุทรไทย-มลายู
น่าสนใจอย่างไร:
ค้างคาวชนิดนี้เป็นค้างคาวกินแมลงขนาดเล็ก พบได้ในป่าหลากหลายแบบของพื้นที่ภาคใต้ ทั้งป่าดิบที่สมบูรณ์และตามชายป่าที่มีการรบกวนของมนุษย์ แต่ไม่พบนอกพื้นที่ป่า โดยในปี 2013 มันได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr. Antonio Guillen-Servent ผู้เก็บตัวอย่างแรกได้จากจังหวัดกระบี่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 และเป็นจุดเริ่มต้นให้มีการศึกษาทบทวนอนุกรมวิธานของค้างคาวกลุ่มนี้ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเวลาต่อมาและทำให้พบว่าค้างคาวจมูกหลอดชนิดใหม่อีกจำนวนมาก
ลักษณะทั่วไป
เป็นปูเขาหินปูนที่มีลักษณะคล้ายคลึงและมีแหล่งที่พบซ้อนทับกับปูเขาหินปูนสตูล โดยพบเฉพาะในพื้นที่ของอำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล อันเป็นที่มาของชื่อวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันยังไม่มีการรายงานพบนอกพื้นที่นี้เลยจึงนับเป็นปูน้ำจืดที่มีความเป็นชนิดเฉพาะถิ่นสูงมาก ลักษณะที่แตกต่างกันเด่นชัดที่สุดของสองชนิดนี้คือสีสันในตัวเต็มวัย ที่ในปูเขาหินปูนทุ่งหว้าจะเป็นโทนสีแดงขณะที่ปูเขาหินปูนสตูลจะเป็นโทนสีม่วง โดยปูชนิดนี้พบได้ทั้งบริเวณด้านในถ้ำและนอกถ้ำเช่นเดียวกับชนิดปูเขาหินปูนสตูล ส่วนรายละเอียดควาแตกต่างอื่นๆ ที่พบอย่างเช่น ความหนาของเส้นขอบกระดองด้านข้างส่วนหน้า ความหนาแน่นและความเด่นชัดของตุ่มบริเวณต่างๆ
ลักษณะทั่วไป
กลุ่มปูกระดุมเป็นปูน้ำเค็มที่มักจะมีผิวกระดองเรียบมันวาว สันนิษฐานว่าวิวัฒนาการเพื่อเป็นการลดแรงเสียดทานกับเม็ดทรายเพื่อให้สามารถแทรกฝังตัวลงบนพื้นทะเลได้อย่างรวดเร็วในการหลบซ่อนจากผู้ล่า ปูชนิดใหม่นี้จัดเป็นปูกระดุมที่มีขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ขนาดความกว้างของกระดองประมาณ 3.2 ซม. มีลักษณะเด่นที่บริเวณตอนท้ายกระดองทั้งส่วนกลางและด้านข้างมีจุดวงกลมสีสนิมขนาดใหญ่จำนวน 4 จุด จึงตั้งชื่อไทยขึ้นตามลักษณะเด่นนี้ ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ตั้งขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงและเป็นเกียรติกับ ศ. เฉิน ฮุ่ย เหลียน (Chen Hui Lian) ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มปูกระดุม จากสถาบันสมุทรศาสตร์ของ Chinese Academy of Science in Qingdao ประเทศจีน ที่มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับปูกลุ่มนี้ตีพิมพ์ไว้เป็นจำนวนมาก
ลักษณะทั่วไป
แมลงวันขายาวปากหนาถิ่นลังกา เป็นแมลงวันขายาวทางทะเลชนิดใหม่ของโลกที่พบบริเวณป่าชายเลนที่ติดอยู่กับชายหาดและทะเลเปิดของเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล แมลงวันขายาวชนิดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกบริเวณเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย แต่ไม่ได้มีการตีพิมพ์หรือรายงาน ลักษณะเด่นของแมลงวันขายาวชนิดนี้คือ ส่วนลำตัวค่อนข้างใหญ่ (6.2-6.4 มิลลิเมตร) และมีสีเขียวอมทอง หนวดทุกส่วนจะเหลือง ส่วน male hypopygium จะอยู่แนบชิดกับท้องและยืดยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของความยาวลำตัว ซึ่งปกติแล้วแมลงวันสกุลนี้ มักจะมีส่วนของ male hypopygium ที่สั้น นอกจากนี้ ส่วนของ cerci มีความยาวจนถึงส่วนของอก ในขณะที่ surstyli ดูคล้ายแผ่นเยื่อกั้นบางๆ สามารถเคลื่อนไหวและม้วนพับเก็บได้ ชื่อวิทยาศาสาตร์ที่ได้กำหนดขึ้นมานั้นคือ T. langkawensis ตั้งชื่อตามสถานที่ที่พบครั้งแรกคือ เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย (Samoh et al., 2017)
ลักษณะทั่วไป
แมลงวันขายาวปีเตอร์อาจารย์จุฑามาส เป็นแมลงวันขายาวขนาดใหญ่ สามารถพบได้ในป่าชายเลน เช่น ป่าชายเลนที่ติดกับทะเลเปิด หรือคลองป่าชายเลนชั้นในที่มีพื้นที่ดินเลนกว้างยามที่น้ำทะเลลดลงสูงสุด แมลงวันขายาวชนิดนี้ถูกค้นพบครั้งแรกจากหน่วยวิจัยป่าชายเลนตำมะลัง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล โดยตั้งชื่อเพื่อให้เป็นเกียรติแก่ รองศาสตราจารย์ ดร.จุฑามาส ศตสุข อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลักของนักวิจัย ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ลักษณะที่เด่นชัดบางประการของแมลงวันขายาวชนิดนี้คือ ลำตัวมีสีเขียวอมทอง มีความยาวลำตัวประมาณ 7 มิลลิเมตร มีปล้องหนวดหนาและใหญ่ ในส่วนของ dorsal surstylus (ds) หรือส่วนที่ยื่นออกจากทางด้านล่างของส่วนสืบพันธุ์เพศผู้มีลักษณะคล้ายรองเท้าบู๊ต (Samoh et al., 2015)
ลักษณะทั่วไป
ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนจากลักษณะภายนอกคือ บริเวณส่วนท้ายด้านล่างของเปลือกมีรอยหยักเหมือนซี่ฟันจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อชนิดนี้ ในขณะที่ชนิดอื่นในสกุลนี้จะมีประมาณ 2-4 หยัก เท่านั้น ปัจจุบันมีรายงานการพบไรน้ำก้นหยักในประเทศไทยและเวียดนาม โดยในประเทศไทยพบที่หนองนาท่าม จ.ตรัง โดยแหล่งน้ำที่พบเป็นหนองน้ำที่มีความลึกไม่มากนัก (10-50 เซนติเมตร) น้ำมีสีน้ำตาล มีการทับถมของพืชและซากใบไม้จำนวนมาก (Van Damme et al., 2013)
ลักษณะทั่วไป
พบบริเวณที่มืด ในถ้ำเขานุ้ย อำเภอรัฐภูมิ จังหวัดสงขลา จึงตั้งชื่อให้เกียรติแก่จังหวัดสงขลา
ลักษณะเด่นคือ มีลำตัวสีขาว ไม่มีตา ขนาดเล็กประมาณ 0.9-1.2 มิลลิเมตร ลักษณะเด่นคือ อุ้งเท้าด้านในมีซี่ฟันแค่เพียงซี่ (Jantarit et. al., 2014)
ใช่แล้ว
คาบสมุทรไทยมีภูมิอากาศเป็นแบบมรสุมมีฝนตกชุกที่สุดในประเทศไทย
ด้วยเขตที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรและอยู่ในตำแหน่งที่รับอิทธิพลลมมรสุมตลอดปี ทั้งจากตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งยังเป็นเส้นทางผ่านของพายุหมุนบ่อยครั้ง ทำให้พื้นที่แห่งนี้มีฝนตกชุกเป็นปกติตลอดทั้งปี ส่งผลให้ภาคใต้กลายเป็นป่าเขตร้อนขนาดใหญ่ของไทย
ใช่แล้ว
เทือกเขาทั้ง 4 เรียกได้ว่า เป็นเทือกเขาสำคัญของภาคใต้เลยหละ
เทือกเขาเหล่านี้ เกิดจากการคดตัวของเปลือกโลก ปัจจุบันมีลักษณะเป็นเทือกเขาสูงช่วยในการเป็นแนวปะทะเมฆฝน
และที่สำคัญยังเป็นจุดกำเนิดของแหล่งน้ำน้อยใหญ่ของภาคใต้ รวมถึงเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาล
ถูกต้อง
ภาคใต้ขนาบข้างด้วย 2 ทะเลที่เป็นแหล่งพักพิงของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก
แม้จะเป็นชายฝั่งเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน ฝั่งอ่าวไทยเกิดจากการยกตัวของเปลือกโลก ทำให้มีที่ราบหรือสันทรายหลายแห่ง ส่วนฝั่งอันดามันเกิดจากการทรุดตัวของเปลือกโลก ทำให้มีที่ราบแคบและมีเกาะแก่งมาก เหตุนี้เองที่ทำให้ 2 พื้นที่มีความหลากหลายทางชีวภาพแตกต่างกันไป
เก่งมาก
คุณรู้จักและเข้าใจคาบสมุทรไทยได้อย่างดีเลย
ความหลากหลายทางชีวภาพของคาบสมุทรไทยไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นการหลอมรวมกันของหลายปัจจัยที่เอื้อต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ ยังมีเอกลักษณ์ทางภูมิศาสตร์ เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพสูงทั้งทางบก (ป่าดิบชื้น) และทางน้ำ (ทะเล พรุ น้ำจืด น้ำกร่อย) ซึ่งเป็นที่สนใจของนักวิจัยทั่วโลก